ในปีหนึ่งฉันตอบรับที่จะร้องเพลงก่อนการแข่งกีฬาของลูกชาย แม้ฉันจะจำเพลงนั้นจนขึ้นใจแล้วแต่ก็ยังคงฝึกซ้อมอยู่หลายสัปดาห์ ดังนั้นเมื่อฉันเดินเข้าไปในสนามโดยมีทีมนักกีฬายืนเรียงกันข้างฉันทั้งสองด้าน ฉันจึงหลับตาลงและอธิษฐาน ฉันเริ่มร้องเพลงสองสามบรรทัดแรกแล้วฉันก็ยืนตัวแข็ง ในจังหวะนั้นฉันจำเนื้อร้องบรรทัดต่อไปไม่ได้ ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังกระซิบคำที่ฉันลืม ทันทีที่ได้ยินเสียงซึ่งช่วยเตือนความจำนั้น ฉันก็เปล่งเสียงร้องเพลงส่วนที่เหลือได้ด้วยความมั่นใจ
เราทุกคนต่างต้องการความช่วยเหลือบ้างในบางครั้ง ในยอห์นบทที่ 14 พระเยซูทรงอธิบายว่าเราแสดงความรักต่อพระองค์ได้ก็โดยการเชื่อฟังพระองค์ (ข้อ 15) และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทูลขอพระบิดาให้ส่งองค์พระผู้ช่วยมาช่วยเรา “คือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ข้อ 17) พระวิญญาณนี้ “โลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” (ข้อ 17) แม้ว่าพระเยซูจะทรงสอนสาวกหลายสิ่งขณะอยู่กับพวกเขา (ข้อ 25) พระองค์ตรัสว่า “องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ข้อ 26)
เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน พระวิญญาณจะช่วยเราในการตีความให้เข้าใจและปรับใช้พระคำซึ่งเป็นพระปัญญาของพระเจ้านี้ การทรงนำของพระองค์สอดคล้องกับพระวจนะเสมอ เพื่อชี้ทาง ปลอบโยน และเปลี่ยนแปลงเราด้วยความรัก ทรงเป็นเสียงเตือนที่คอยช่วยเหลือเราทุกครั้งเสมอไป
วันหนึ่งในขณะที่ฉันทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลแม่ เราไปชมนิทรรศการศิลปะด้วยกัน เรารู้สึกหมดแรงทั้งกายและใจ ฉันจ้องดูเรือพายไม้สองลำที่เต็มไปด้วยสีสันของแก้วเป่าหลากรูปทรงที่ได้แรงบันดาลใจจากเหยื่อตกปลาและการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น ผลงานนี้มีชื่อว่า อิเคบานะและเรือบนผิวน้ำ ด้านหน้าผนังสีดำอยู่บนพื้นผิวที่สะท้อนแสง แก้วทรงกลมเหมือนหมากฝรั่งขนาดใหญ่ที่มีลายจุด รอยด่างและเส้นริ้ววางกองกันไว้อยู่ในเรือลำเล็ก ในตัวเรืออีกลำมีแก้วขนาดยาวเป็นเส้นโค้งงอขึ้นรูปเป็นดอกกุหลาบดูเหมือนเปลวเพลิงสว่างไสว ศิลปินได้ปั้นแก้วหลอมแต่ละชิ้นให้เป็นรูปร่างผ่านเปลวไฟบริสุทธิ์ในขั้นตอนการเป่าแก้ว
น้ำตาของฉันไหลอาบแก้มเมื่อนึกถึงภาพพระหัตถ์ที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยของพระเจ้าทรงโอบกอดฉันกับแม่ซึ่งเป็นลูกที่รักของพระองค์ไว้ ในวันที่ยากลำบากที่สุดของเรา ในขณะที่พระเจ้าทรงปั้นแต่งคุณลักษณะของเราผ่านเปลวไฟที่หล่อหลอมชีวิตนั้น พระองค์ทรงยืนยันว่าความหวังของเรามาจากการรู้ว่าพระองค์รู้จักเราและเราเป็นของพระองค์ (อสย.43:1) แม้เราจะหลีกหนีความยากลำบากไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะปกป้องเราและอยู่กับเรา (ข้อ 2) พระลักษณะของพระองค์และความรักที่ทรงมีต่อเราทำให้พระสัญญาของพระองค์มั่นคง (ข้อ 3-4)
เมื่อสถานการณ์ในชีวิตเริ่มร้อนแรงขึ้น เราอาจรู้สึกอ่อนแอ และเราอาจอ่อนแอจริงๆ แต่พระเจ้าทรงยึดเราไว้มั่นในความรักไม่ว่าเตาหลอมนั้นจะร้อนด้วยเปลวไฟมากเพียงใด เราก็จะเป็นที่จดจำ เป็นที่รัก เราเป็นของพระองค์!
วันหนึ่งในฤดูหนาวที่รัฐมิชิแกน พนักงานส่งของเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังขุดหิมะออกจากทางเดินรถของเธอ เขาจึงหยุดและโน้มน้าวหญิงวัยแปดสิบเอ็ดปีที่จะยอมให้เขาช่วยขุดหิมะต่อให้เสร็จ ด้วยความกังวลว่าเขาจะไปส่งของล่าช้า หญิงชราจึงหยิบพลั่วอีกอันหนึ่งออกมา เพื่อนบ้านมองเห็นทั้งสองคนทำงานเคียงข้างกันเกือบสิบห้านาทีจากระยะไกล “ขอบคุณจริงๆที่มาช่วยฉัน” หญิงชราพูด “คุณคือคนที่พระเจ้าทรงส่งมา”
ในระหว่างการสนทนากับผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติ พระเยซูได้ทรงให้นิยามใหม่เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการรักเพื่อนบ้าน(ลก.10:25-37)เมื่อพระเยซูทรงขอให้เขาอธิบายธรรมบัญญัติที่เขารู้จักดี ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (ข้อ 27)
จากนั้นพระเยซูทรงเล่าเรื่องผู้นำทางศาสนาสองคนที่เมินเฉยเหยื่อที่ถูกปล้น แต่ชาวสะมาเรียที่ผู้นำของชาวยิวในยุคนั้นถือว่าเป็นชนชั้นต่ำ ได้ยอมเสียสละเข้าช่วยชายที่บาดเจ็บ (ข้อ 30-35) เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติได้ตระหนักว่า ชายผู้มีเมตตาต่อเหยื่อคือผู้ที่ได้แสดงความรักต่อเพื่อนบ้าน พระเยซูจึงหนุนใจเขาให้ทำแบบเดียวกัน (ข้อ 36-37)
การแสดงความรักต่อผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่ายในทุกครั้ง แต่เมื่อพระเยซูทรงเติมเราให้เต็มล้นด้วยความรักของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงช่วยให้เรารักเพื่อนบ้านได้เหมือนกับชาวสะมาเรียใจดีนั้น
วันหนึ่งฉันทักทายครอบครัวที่มาเยี่ยมคริสตจักรของเรา ฉันคุกเข่าข้างรถเข็นวีลแชร์ของลูกสาวตัวน้อยของพวกเขา แนะนำให้เธอรู้จักกับแคลลี่สุนัขช่วยเหลือของฉัน และชมแว่นตากับรองเท้าบูทสีชมพูแสนสวยของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไร แต่รอยยิ้มของเธอบอกฉันว่าเธอชอบการสนทนาของเรา เด็กหญิงตัวเล็กอีกคนหนึ่งเข้ามาใกล้โดยไม่ยอมสบตากับเธอ และกระซิบว่า “บอกเธอว่าหนูชอบชุดของเธอ” ฉันพูดว่า “หนูบอกเธอสิ เธอใจดีเหมือนกับหนูเลยนะ” ฉันอธิบายว่าการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ของเรานั้นง่ายมากถึงแม้ว่าเธอจะสื่อสารแตกต่างออกไป อีกทั้งการมองและการยิ้มจะช่วยให้เธอรู้สึกเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รักได้
ในพระคัมภีร์และในโลกนี้ ผู้คนมักถูกกันออกไปเพราะพวกเขาถูกมองว่า แตกต่าง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเราทรงยกย่องความแตกต่างของเราและเชิญชวนให้เราเข้าสู่สัมพันธภาพกับพระองค์และครอบครัวของพระองค์ ในสดุดี 138 ดาวิดกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ต่อหน้าบรรดาพระ” (ข้อ 1) ท่านกล่าวด้วยว่า “ถึงแม้พระเจ้านั้นสูงยิ่ง” แต่พระองค์ “ทรงเห็นแก่คนต่ำต้อย” (ข้อ 6)
พระเจ้าผู้สูงส่งและบริสุทธิ์ทอดพระเนตรด้วยพระเมตตามาที่เรา ผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง โดยเฉพาะเมื่อเราถ่อมตัวลง ขณะที่เราขอให้พระองค์ทรงช่วยให้เรามองและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเมตตา เราสามารถขอบคุณพระองค์ที่ทรงยืนยันว่าแม้เราต่ำต้อยแต่ก็เป็นที่รัก!
หลังจากความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดอีกครั้ง ฉันได้ไปพักผ่อนที่ภูเขากับสามีและคนอื่นๆ ฉันเดินขึ้นบันไดไม้ที่นำไปสู่โบสถ์เล็กๆบนยอดเขาอย่างเหน็ดเหนื่อย ฉันหยุดพักบนขั้นบันไดที่หักเพียงลำพังในความมืด “พระเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วย” ฉันกระซิบขณะที่เสียงดนตรีเริ่มขึ้น ฉันเดินอย่างช้าๆจนไปถึงห้องเล็กๆ ฉันสูดลมหายใจผ่านความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่ รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ทรงได้ยินเราในถิ่นทุรกันดารที่ยากลำบาก!
ช่วงเวลาแห่งการนมัสการพระเจ้าที่ลึกซึ้งที่สุดหลายครั้งที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์นั้นเกิดขึ้นในถิ่นทุรกันดาร ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ที่ทะเลทรายยูดาห์และอาจกำลังวิ่งหนีจากบุตรชายของตนเอง คือ อับซาโลม กษัตริย์ดาวิดทรงร้องว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์” (สดด.63:1) ดาวิดมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจและในพระสิริของพระเจ้า พระองค์จึงบอกว่าความรักของพระเจ้า “ดีกว่าชีวิต” (ข้อ 3) และนั่นเป็นเหตุผลที่พระองค์ทรงอุทิศทั้งชีวิตในการนมัสการ แม้ในถิ่นทุรกันดาร (ข้อ 2-6) ดาวิดตรัสว่า “เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์เกาะติดอยู่ที่พระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ชูข้าพระองค์ไว้” (ข้อ 7-8)
ดังเช่นดาวิดที่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรหรือสิ่งที่ต่อต้านเราจะรุนแรงแค่ไหน เราก็สามารถแสดงความมั่นใจในพระเจ้าได้โดยการสรรเสริญพระองค์ (ข้อ 11) แม้ว่าเราจะทุกข์ยาก และบางครั้งไม่ได้มาจากความผิดของเรา เรายังคงวางใจได้ว่าความรักของพระเจ้านั้นดีกว่าชีวิตเสมอ
ในปีหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรเชิญชวนให้เราถวายเพิ่มจากการถวายประจำแต่ละสัปดาห์ เพื่อเป็นของขวัญสำหรับการสร้างโรงยิมซึ่งเราจะสามารถใช้เพื่อช่วยเหลือครอบครัวในชุมชนได้ หลังจากที่ไตร่ตรองด้วยการอธิษฐานโดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่มีผู้พิการ ฉันถามสามีว่า “คุณแน่ใจหรือว่าเราทำสิ่งนี้ได้” เขาพยักหน้าและพูดว่า “เราไม่ได้ให้อะไรกับพระเจ้านอกจากสิ่งที่เป็นของพระองค์อยู่แล้ว” เขาพูด “พระองค์จะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น” และพระองค์ทำจริงๆ! สิบกว่าปีต่อมาคริสตจักรของเรายังคงมีโอกาสได้รับใช้พระเยซูด้วยการรับใช้ผู้คนในโรงยิมนั้น
ใน 1 พงศาวดาร 29 กษัตริย์ดาวิดทรงแสดงให้พวกผู้นำของอิสราเอลเห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนซาโลมอนโอรสของพระองค์ในฐานะที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นผู้สืบทอดและผู้ที่จะสร้างพระวิหาร (ข้อ 1-5) ทุกคนตอบรับตามนั้นโดย “ถวายด้วยความเต็มใจ” และ “เปรมปรีดิ์” (ข้อ 6,9) ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าและประกาศว่า “บรรดาสิ่งที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์และในแผ่นดินโลก” เป็นของพระองค์ (ข้อ 11) พระองค์ทรงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ของมากมายเหล่านี้ทั้งสิ้นซึ่งข้าพระองค์จัดหาเพื่อสร้างพระนิเวศถวายแด่พระองค์ เพื่อพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์มาจากพระหัตถ์ของพระองค์ และเป็นของพระองค์ทั้งสิ้น” (ข้อ 16)
เมื่อเราพิจารณาดูทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำและมอบให้กับเรา โดยเฉพาะของขวัญแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซู ขอให้เรานมัสการและแสดงความขอบคุณและความรักโดยการถวายคืนให้กับพระเจ้าผู้ทรงประทานสิ่งดีทั้งปวง!
ตอนที่เซเวียร์ยังเด็ก ฉันอ่านนิทานกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งที่ต่อต้านครู ด้วยการตั้งชื่อเพื่อใช้เรียกปากกา นักเรียนคนนี้โน้มน้าวเพื่อนร่วมชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้ใช้ชื่อใหม่ที่เขาตั้งขึ้นสำหรับปากกา ข่าวเกี่ยวกับคำศัพท์ที่ใช้แทนนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง ในที่สุดผู้คนทั่วประเทศก็เปลี่ยนวิธีเรียกชื่อปากกา เพียงเพราะคนอื่นๆยอมรับความจริงที่เด็กชายคนหนึ่งแต่งขึ้นว่าเป็นความจริงสากล
ในตลอดประวัติศาสตร์ มนุษย์ที่มีข้อบกพร่องได้ยอมรับรูปแบบของความจริงที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาหรือยอมรับความเป็นจริงตามที่ตัวเองเห็นชอบเพื่อให้เหมาะกับความปรารถนาของตน อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นความจริงหนึ่งเดียว คือพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว และทางเดียวที่นำไปสู่ความรอดคือโดยทางพระเมสสิยาห์ ผู้ซึ่ง “เผยพระสิริของพระเจ้า” (อสย.40:5) ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ยืนยันว่ามนุษย์ก็เหมือนกับสรรพสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้าง คือเป็นสิ่งชั่วคราว ผิดพลาดได้ และไม่สามารถพึ่งพาได้ (ข้อ 6-7) ท่านกล่าวว่า “หญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง ดอกไม้นั้นก็ร่วงโรยไป แต่พระวจนะของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” (ข้อ 8)
คำพยากรณ์ของอิสยาห์ในเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ได้วางรากฐานที่เชื่อถือได้ เป็นที่ลี้ภัยอันปลอดภัยและความหวังอันมั่นคง เราไว้วางใจในพระดำรัสของพระเจ้าได้เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระวาทะนั้น (ยน.1:1) พระเยซูทรงเป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เซเวียร์ลูกชายของฉันที่สูง 190 เซนติเมตร ได้ยกตัวเซเรียนลูกวัยหัดเดินอารมณ์ดีของเขาชูขึ้นกลางอากาศอย่างง่ายดาย เขาใช้มืออันใหญ่โตนั้นจับเท้าเล็กๆของลูกชายไว้ ทำให้สองเท้ามั่นคงอยู่ในฝ่ามือของเขา เขาเหยียดแขนออกและบอกให้ลูกชายทรงตัวด้วยตัวเองโดยมืออีกข้างที่ว่างอยู่คอยเตรียมพร้อมรอรับ เซเรียนยืดขาออกและยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างและแขนสองข้างปล่อยลงข้างตัว ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สายตาของพ่อ
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงข้อดีของการจดจ่อที่พระบิดาของเราในสวรรค์ “ใจแน่วแน่นั้นพระองค์ทรงรักษาไว้ในศานติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์” (อสย.26:3) ท่านหนุนใจให้คนของพระเจ้าทุ่มเทที่จะแสวงหาพระองค์จากพระคัมภีร์ และติดสนิทกับพระองค์ผ่านคำอธิษฐานและการนมัส-การ คนเหล่านั้นที่สัตย์ซื่อจะมีความไว้วางใจอันมั่นคงที่ถูกสร้างผ่านความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระบิดา
ในฐานะลูกที่รักของพระเจ้า เราป่าวร้องด้วยความกล้าหาญได้ว่า “จงวางใจในพระเจ้าเป็นนิตย์เพราะพระเจ้าทรงเป็นศิลานิรันดร์” (ข้อ 4) เพราะพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงไว้วางใจได้ พระองค์และพระคำของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เมื่อเราจดจ่ออยู่ที่พระบิดาในสวรรค์ของเรา พระองค์จะทรงให้เท้าของเราตั้งมั่นคงอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เราวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงรัก สัตย์ซื่อ และดีต่อเราตลอดไป!
ฉันเปิดกล่องความทรงจำแล้วดึงเข็มกลัดสีเงินอันเล็กๆซึ่งมีขนาดและรูปร่างเท่ากับเท้าของทารกในครรภ์อายุ 10 สัปดาห์ออกมา ขณะที่สัมผัสนิ้วเท้าเล็กๆทั้งสิบนิ้ว ฉันนึกถึงตอนที่ต้องสูญเสียลูกในครรภ์คนแรกไป และคนที่บอกว่าฉัน “โชคดี” ที่ไม่ได้อุ้มท้อง “ไปนานกว่านั้น” ฉันโศกเศร้าเมื่อรู้ว่าเท้าของลูกนั้นเหมือนกับหัวใจดวงน้อยที่เคยเต้นอยู่ในครรภ์ของฉันจริงๆ ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยปลดปล่อยฉันจากภาวะซึมเศร้าและใช้เรื่องราวนี้เพื่อปลอบโยนคนที่ต้องเสียใจจากการสูญเสียลูก เป็นเวลากว่า 20 ปีหลังจากที่ฉันแท้งลูก ฉันและสามีได้ตั้งชื่อลูกที่เสียไปว่า ไค ซึ่งในบางภาษาแปลว่า “ชื่นชมยินดี” แม้ว่าฉันยังคงเจ็บปวดจากการสูญเสีย แต่ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเยียวยาหัวใจและใช้เรื่องราวของฉันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ผู้เขียนสดุดี 107 ชื่นชมยินดีในพระลักษณะของพระเจ้าและร้องสรรเสริญ “จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” (ข้อ 1) พระองค์ทรงเรียกร้องให้ “ผู้ที่พระเจ้าทรงไถ่ไว้” เล่าเรื่องราวของพวกเขา (ข้อ 2) “ให้เขาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” (ข้อ 8) พระองค์ทรงหยิบยื่นความหวังพร้อมกับพระสัญญาที่บอกว่า พระเจ้าผู้เดียวที่ “ทรงให้เขาอิ่ม และผู้ที่หิว พระองค์ทรงให้เขาหนำใจด้วยของดี” (ข้อ 9)
ไม่มีใครหลีกหนีความเศร้าโศกหรือความทุกข์ใจได้ แม้แต่คนที่ได้รับการไถ่ผ่านการสละพระชนม์บนกางเขนของพระคริสต์ แต่เราสามารถสัมผัสถึงพระเมตตาของพระเจ้าได้เมื่อพระองค์์ทรงใช้เรื่องราวของเรา เพื่อนำผู้อื่นมาถึงความรักแห่งการทรงไถ่ของพระองค์