ฝูงไฮยีน่าล้อมสิงโตตัวเมียที่อยู่โดดเดี่ยว เมื่อฝูงสัตว์ดุร้ายส่งเสียงแหลมเข้าจู่โจม สิงโตตัวเมียก็สู้กลับ มันทั้งกัด ทั้งตะปบ แผดเสียง และคำรามอย่างสุดกำลังเพื่อป้องกันตัวจากศัตรู ในที่สุดมันก็ล้มลง ขณะที่ฝูงไฮยีน่ากำลังรุมมัน สิงโตตัวเมียอีกตัวหนึ่งเข้ามาช่วยพร้อมผู้ช่วยอีกสามตัวที่ตามหลังมาติดๆ แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่า แต่พวกมันก็สู้จนฝูงไฮยีน่ากระจัดกระจายไป สิงโตตัวเมียยืนอยู่ด้วยกัน กวาดสายตาไปรอบๆราวกับกำลังรอคอยการจู่โจมอีกครั้งหนึ่ง
ผู้เชื่อในพระเยซูก็ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างยิ่งเช่นกัน การช่วยเหลือที่ทรงพลังที่สุดที่เรามอบให้ได้คือคำอธิษฐาน อัครทูตเปาโลเขียนในจดหมายถึงคริสตจักรในกรุงโรมว่า “พี่น้องทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์พระผู้เป็นเจ้าของเราและโดยความรักของพระวิญญาณ ข้าพเจ้าวิงวอนขอให้ท่านช่วยอธิษฐานพระเจ้าด้วยใจร้อนรนเพื่อข้าพเจ้า” (รม.15:30) เปาโลขอให้พวกเขาอธิษฐานให้ท่าน “พ้นจากมือของคนในประเทศยูเดียที่ไม่เชื่อ” และเพื่อให้การปรนนิบัติเนื่องด้วยผลทาน “เป็นที่พอใจของธรรมิกชน” (ข้อ 31) ท่านรู้ถึงรางวัลของการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชุมชน (ข้อ 32) ท่านยืนหยัดร่วมกับพวกเขาในคำอธิษฐานด้วย และลงท้ายจดหมายของท่านด้วยการอวยพร “ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” (ข้อ 33)
ขณะที่เราดำเนินชีวิตเพื่อพระเยซู เราจะเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งในฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณ แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราและต่อสู้แทนเรา เมื่อเรายืนหยัดร่วมกัน... โดยพร้อมที่จะอธิษฐานอยู่เสมอ
คิ้วของเคย์ล่าขมวดเข้าหากันขณะที่เธอดันกระดาษอีกแผ่นหนึ่งลงในกล่องที่เต็มจนแน่นแล้ว กล่องนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า “มอบไว้กับพระเจ้า” อยู่ทั้งสี่ด้าน เธอถอนหายใจยาวและค้นหาคำอธิษฐานที่เธอเขียนใส่ไว้ในกล่องก่อนหน้านี้ “ฉันอ่านออกเสียงคำอธิษฐานเกือบทุกวัน” เธอบอกกับชานเทลเพื่อนของเธอ “ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงได้ยินฉัน” ชานเทลยื่นพระคัมภีร์ให้เคย์ล่า “ก็ด้วยการวางใจว่าพระเจ้าทรงรักษาคำตรัสของพระองค์” เธอกล่าว “และทุกครั้ง ให้เธอวางมอบคำอธิษฐานที่เธอเขียนหรืออ่านนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
อัครทูตเปาโลหนุนใจผู้เชื่อในพระเยซูให้ “ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า” และให้เหตุผลที่ดีที่จะทำเช่นนั้นโดยยืนยันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว” (ฟป.4:4-5) ท่านหนุนใจคนของพระเจ้าให้เปลี่ยนความคิดกังวลเป็นคำอธิษฐานที่เต็มไปด้วยความเชื่อ โดยเชื่อว่าพระองค์ทรงได้รับคำร้องทูลทุกอย่าง และให้เราสรรเสริญพระองค์ขณะพักสงบอยู่ในสันติสุขอันลึกซึ้งแห่งการทรงสถิตอันไม่สิ้นสุดของพระองค์ (ข้อ 6-7)
พระเยซูองค์สันติราชจะทรงคุ้มครองจิตใจและความรู้สึกของเรา เมื่อเรามุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่นำเราไปถึงพระองค์ นั่นคือ “สิ่งที่จริง...สิ่งที่ยุติธรรม...สิ่งที่บริสุทธิ์...สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ” (ข้อ 8)
สันติสุขของพระเจ้าจะปกป้องเราเมื่อเราไว้วางใจว่าพระเจ้าแห่งสันติสุขทรงอยู่กับเรา เมื่อเราเป็นอิสระจากภาระแห่งการยึดติดกับความกังวลแล้ว เราจะสัมผัสถึงสันติสุขในการมอบวางคำอธิษฐานทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ที่ไว้วางใจได้ของพระเจ้า
ด้วยการให้สัญญาณครั้งสุดท้ายของกรรมการตัดสิน เคเนดี้ เบลดส์ นักกีฬามวยปล้ำได้กลายเป็นแชมป์โอลิมปิคประจำปี 2024 เธอประสานมือชูขึ้นพร้อมกับมองไปบนสวรรค์และสรรเสริญพระเจ้า นักข่าวถามถึงพัฒนาการของเธอตลอดสามปีที่ผ่านมา แต่นักกีฬาชั้นยอดผู้นี้ไม่ได้พูดถึงการฝึกฝนทางกายของเธอเลยด้วยซ้ำ “ฉันแค่เข้าใกล้พระเยซูมากขึ้น” เธอกล่าว เธอประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็นกษัตริย์และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับ
หนุนใจผู้อื่นให้เชื่อวางใจในพระองค์ “เป็นเพราะพระองค์” เธอกล่าว “นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฉันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้” ในการให้สัมภาษณ์อื่นๆเธอก็ประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่า พระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับเธอและเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอได้รับสิ่งที่ดีในชีวิต
ความร้อนรนที่จะดำเนินชีวิตโดยมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางนี้สะท้อนถึงคำประกาศของดาวิดในสดุดี 63 ดาวิดโหยหาที่จะได้พบองค์พระผู้สร้างของท่าน โดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์” (ข้อ 1) ดาวิดได้ “เห็น” พระเจ้า และ “เห็นฤทธานุภาพ” และ “พระสิริ” ของพระองค์ (ข้อ 2) ท่านประกาศว่า ความรักมั่นคงของพระเจ้า “ดีกว่าชีวิต” (ข้อ 3) จากนั้นอธิษฐานว่า “เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์เกาะติดอยู่ที่พระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ชูข้าพระองค์ไว้” (ข้อ 7-8) เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับดาวิด
ชีวิตของเราสามารถเป็นแสงนำทางให้ผู้อื่นเข้ามามีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด เมื่อพระเยซูกลายมาเป็นเหตุผลและทุกสิ่งในชีวิตของเรา
เมื่อไดแอน ด็อคโค่คิมและสามีรู้ว่าลูกชายถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก เธอทุกข์ใจกับความเป็นไปได้ที่ว่าลูกซึ่งมีความบกพร่องด้านสติปัญญาอาจมีชีวิตยืนยาวกว่าเธอ เธอร้องทูลพระเจ้าว่า เขาจะเป็นอย่างไรหากไม่มีข้าพระองค์ คอยดูแล พระเจ้าทรงให้เธอได้อยู่ท่ามกลางการสนับสนุนจากกลุ่มพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเด็กที่มีความพิการ ในความรู้สึกผิดที่มักจะอธิบายไม่ได้ ในความรู้สึกไม่ดีพอและความกลัวนั้น พระเจ้าประทานกำลังแก่ไดแอนที่จะไว้วางใจในพระองค์ ในที่สุดแล้วจากหนังสือที่เธอเขียนชื่อ ความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนไดแอนได้มอบความหวังเรื่อง “การฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ” ให้กับผู้คนที่เลี้ยงดูลูกที่พิการ เมื่อลูกชายของเธอเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ความเชื่อของไดแอนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เธอไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงดูแลเธอและลูกชายของเธอตลอดไป
ความไม่แน่นอนในชีวิตอาจทำให้ใจของเราแข็งกระด้างต่อพระเจ้า เราอาจถูกล่อลวงให้เชื่อในสิ่งอื่นหรือคนอื่นรวมถึงตัวเราเอง แต่เราสามารถพึ่งพาใน “พระศิลาแห่งความรอดของพวกเรา” ได้ (สดด.95:1) นี่เป็นวลีที่ชี้ให้เห็นถึงพระลักษณะที่แน่นอนของพระเจ้า “ที่ลึกของแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ที่สูงของภูเขาเป็นของพระองค์ด้วย ทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างมัน และพระหัตถ์ของพระองค์ทรงปั้นแผ่นดิน” (ข้อ 4-5)
เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนได้ด้วยการนมัสการ “พระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเรา” (ข้อ 6) เราวางใจได้ว่าทรงอยู่กับเราและคนที่เรารักเพราะ เราเป็น “ฝูงแกะที่พระองค์ทรงอุ้มชูด้วยพระหัตถ์ของพระองค์” (ข้อ 7 TNCV)
ผู้คนหลายพันทั่วโลกอธิษฐานเผื่อลูกชายวัยสามขวบของเซธี ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อหมอบอกว่า สมองของชิโลห์ “ไม่มีการเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์” เซธีโทรมาหาฉัน พูดว่า “บางครั้ง ฉันก็กลัวว่าฉันไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยม ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงรักษาชิโลห์ให้หายจนเขากลับบ้านกับเราได้ แต่ฉันก็มีสันติสุขเช่นกันถ้าพระองค์จะรักษาโดยการรับเขาไปสวรรค์” เพื่อยืนยันกับเธอว่าพระเจ้าทรงเข้าใจเธอมากกว่าใคร ฉันจึงบอกว่า “เธอยอมจำนนต่อพระเจ้าแล้ว นั่น
คือความเชื่อที่เต็มเปี่ยม!” ไม่กี่วันต่อมา พระเจ้าทรงรับบุตรชายที่ล้ำค่าของเธอไปสวรรค์ แม้จะต้องต่อสู้กับความโศกเศร้าจากการสูญเสีย แต่เซธีก็ขอบคุณพระเจ้าและผู้คนมากมายที่อธิษฐานเผื่อ เธอบอกว่า “ฉันเชื่อว่าพระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้าและพระองค์ทรงแสนดีเสมอ”
ในโลกนี้ เรา “จะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ” (1 ปต.1:6) จนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา และเราจะต้องจัดการกับอารมณ์ที่แท้จริงจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริง แต่ทุกคนที่มีประสบการณ์กับการ “บังเกิดใหม่” ในพระคริสต์ (ข้อ 3) จะมีที่ยึดเหนี่ยวในชีวิตโดยความรักที่มีต่อพระเยซู และมี “ความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้” (ข้อ 8) สุดท้ายผลแห่งความเชื่อที่เรามีในพระคริสต์จะทำให้ “วิญญาณจิต[ของเรา ]ได้รับความรอด” (ข้อ 9)
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานกำลังให้เราเพื่อจะมีความเชื่อที่เต็มเปี่ยม ด้วยการดำเนินชีวิตแห่งการอธิษฐานและยอมมอบสถานการณ์ของเราไว้กับพระคริสต์
ในปีหนึ่งฉันตอบรับที่จะร้องเพลงก่อนการแข่งกีฬาของลูกชาย แม้ฉันจะจำเพลงนั้นจนขึ้นใจแล้วแต่ก็ยังคงฝึกซ้อมอยู่หลายสัปดาห์ ดังนั้นเมื่อฉันเดินเข้าไปในสนามโดยมีทีมนักกีฬายืนเรียงกันข้างฉันทั้งสองด้าน ฉันจึงหลับตาลงและอธิษฐาน ฉันเริ่มร้องเพลงสองสามบรรทัดแรกแล้วฉันก็ยืนตัวแข็ง ในจังหวะนั้นฉันจำเนื้อร้องบรรทัดต่อไปไม่ได้ ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังกระซิบคำที่ฉันลืม ทันทีที่ได้ยินเสียงซึ่งช่วยเตือนความจำนั้น ฉันก็เปล่งเสียงร้องเพลงส่วนที่เหลือได้ด้วยความมั่นใจ
เราทุกคนต่างต้องการความช่วยเหลือบ้างในบางครั้ง ในยอห์นบทที่ 14 พระเยซูทรงอธิบายว่าเราแสดงความรักต่อพระองค์ได้ก็โดยการเชื่อฟังพระองค์ (ข้อ 15) และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทูลขอพระบิดาให้ส่งองค์พระผู้ช่วยมาช่วยเรา “คือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ข้อ 17) พระวิญญาณนี้ “โลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” (ข้อ 17) แม้ว่าพระเยซูจะทรงสอนสาวกหลายสิ่งขณะอยู่กับพวกเขา (ข้อ 25) พระองค์ตรัสว่า “องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ข้อ 26)
เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน พระวิญญาณจะช่วยเราในการตีความให้เข้าใจและปรับใช้พระคำซึ่งเป็นพระปัญญาของพระเจ้านี้ การทรงนำของพระองค์สอดคล้องกับพระวจนะเสมอ เพื่อชี้ทาง ปลอบโยน และเปลี่ยนแปลงเราด้วยความรัก ทรงเป็นเสียงเตือนที่คอยช่วยเหลือเราทุกครั้งเสมอไป
วันหนึ่งในขณะที่ฉันทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลแม่ เราไปชมนิทรรศการศิลปะด้วยกัน เรารู้สึกหมดแรงทั้งกายและใจ ฉันจ้องดูเรือพายไม้สองลำที่เต็มไปด้วยสีสันของแก้วเป่าหลากรูปทรงที่ได้แรงบันดาลใจจากเหยื่อตกปลาและการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น ผลงานนี้มีชื่อว่า อิเคบานะและเรือบนผิวน้ำ ด้านหน้าผนังสีดำอยู่บนพื้นผิวที่สะท้อนแสง แก้วทรงกลมเหมือนหมากฝรั่งขนาดใหญ่ที่มีลายจุด รอยด่างและเส้นริ้ววางกองกันไว้อยู่ในเรือลำเล็ก ในตัวเรืออีกลำมีแก้วขนาดยาวเป็นเส้นโค้งงอขึ้นรูปเป็นดอกกุหลาบดูเหมือนเปลวเพลิงสว่างไสว ศิลปินได้ปั้นแก้วหลอมแต่ละชิ้นให้เป็นรูปร่างผ่านเปลวไฟบริสุทธิ์ในขั้นตอนการเป่าแก้ว
น้ำตาของฉันไหลอาบแก้มเมื่อนึกถึงภาพพระหัตถ์ที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยของพระเจ้าทรงโอบกอดฉันกับแม่ซึ่งเป็นลูกที่รักของพระองค์ไว้ ในวันที่ยากลำบากที่สุดของเรา ในขณะที่พระเจ้าทรงปั้นแต่งคุณลักษณะของเราผ่านเปลวไฟที่หล่อหลอมชีวิตนั้น พระองค์ทรงยืนยันว่าความหวังของเรามาจากการรู้ว่าพระองค์รู้จักเราและเราเป็นของพระองค์ (อสย.43:1) แม้เราจะหลีกหนีความยากลำบากไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะปกป้องเราและอยู่กับเรา (ข้อ 2) พระลักษณะของพระองค์และความรักที่ทรงมีต่อเราทำให้พระสัญญาของพระองค์มั่นคง (ข้อ 3-4)
เมื่อสถานการณ์ในชีวิตเริ่มร้อนแรงขึ้น เราอาจรู้สึกอ่อนแอ และเราอาจอ่อนแอจริงๆ แต่พระเจ้าทรงยึดเราไว้มั่นในความรักไม่ว่าเตาหลอมนั้นจะร้อนด้วยเปลวไฟมากเพียงใด เราก็จะเป็นที่จดจำ เป็นที่รัก เราเป็นของพระองค์!
วันหนึ่งในฤดูหนาวที่รัฐมิชิแกน พนักงานส่งของเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังขุดหิมะออกจากทางเดินรถของเธอ เขาจึงหยุดและโน้มน้าวหญิงวัยแปดสิบเอ็ดปีที่จะยอมให้เขาช่วยขุดหิมะต่อให้เสร็จ ด้วยความกังวลว่าเขาจะไปส่งของล่าช้า หญิงชราจึงหยิบพลั่วอีกอันหนึ่งออกมา เพื่อนบ้านมองเห็นทั้งสองคนทำงานเคียงข้างกันเกือบสิบห้านาทีจากระยะไกล “ขอบคุณจริงๆที่มาช่วยฉัน” หญิงชราพูด “คุณคือคนที่พระเจ้าทรงส่งมา”
ในระหว่างการสนทนากับผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติ พระเยซูได้ทรงให้นิยามใหม่เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการรักเพื่อนบ้าน(ลก.10:25-37)เมื่อพระเยซูทรงขอให้เขาอธิบายธรรมบัญญัติที่เขารู้จักดี ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (ข้อ 27)
จากนั้นพระเยซูทรงเล่าเรื่องผู้นำทางศาสนาสองคนที่เมินเฉยเหยื่อที่ถูกปล้น แต่ชาวสะมาเรียที่ผู้นำของชาวยิวในยุคนั้นถือว่าเป็นชนชั้นต่ำ ได้ยอมเสียสละเข้าช่วยชายที่บาดเจ็บ (ข้อ 30-35) เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติได้ตระหนักว่า ชายผู้มีเมตตาต่อเหยื่อคือผู้ที่ได้แสดงความรักต่อเพื่อนบ้าน พระเยซูจึงหนุนใจเขาให้ทำแบบเดียวกัน (ข้อ 36-37)
การแสดงความรักต่อผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่ายในทุกครั้ง แต่เมื่อพระเยซูทรงเติมเราให้เต็มล้นด้วยความรักของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงช่วยให้เรารักเพื่อนบ้านได้เหมือนกับชาวสะมาเรียใจดีนั้น
วันหนึ่งฉันทักทายครอบครัวที่มาเยี่ยมคริสตจักรของเรา ฉันคุกเข่าข้างรถเข็นวีลแชร์ของลูกสาวตัวน้อยของพวกเขา แนะนำให้เธอรู้จักกับแคลลี่สุนัขช่วยเหลือของฉัน และชมแว่นตากับรองเท้าบูทสีชมพูแสนสวยของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไร แต่รอยยิ้มของเธอบอกฉันว่าเธอชอบการสนทนาของเรา เด็กหญิงตัวเล็กอีกคนหนึ่งเข้ามาใกล้โดยไม่ยอมสบตากับเธอ และกระซิบว่า “บอกเธอว่าหนูชอบชุดของเธอ” ฉันพูดว่า “หนูบอกเธอสิ เธอใจดีเหมือนกับหนูเลยนะ” ฉันอธิบายว่าการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ของเรานั้นง่ายมากถึงแม้ว่าเธอจะสื่อสารแตกต่างออกไป อีกทั้งการมองและการยิ้มจะช่วยให้เธอรู้สึกเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รักได้
ในพระคัมภีร์และในโลกนี้ ผู้คนมักถูกกันออกไปเพราะพวกเขาถูกมองว่า แตกต่าง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเราทรงยกย่องความแตกต่างของเราและเชิญชวนให้เราเข้าสู่สัมพันธภาพกับพระองค์และครอบครัวของพระองค์ ในสดุดี 138 ดาวิดกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ต่อหน้าบรรดาพระ” (ข้อ 1) ท่านกล่าวด้วยว่า “ถึงแม้พระเจ้านั้นสูงยิ่ง” แต่พระองค์ “ทรงเห็นแก่คนต่ำต้อย” (ข้อ 6)
พระเจ้าผู้สูงส่งและบริสุทธิ์ทอดพระเนตรด้วยพระเมตตามาที่เรา ผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง โดยเฉพาะเมื่อเราถ่อมตัวลง ขณะที่เราขอให้พระองค์ทรงช่วยให้เรามองและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเมตตา เราสามารถขอบคุณพระองค์ที่ทรงยืนยันว่าแม้เราต่ำต้อยแต่ก็เป็นที่รัก!