ประติมากรรมหินรูปซุ้มประตูโค้งของแอนดี้ โกลส์เวิธธี ตั้งอยู่ริมถนนราวกับกำลังก้าวไปพร้อมกับคนเดินทาง ศิลปินได้สร้างประตูโค้งสูงสิบแปดฟุตด้วยหินทรายจากสก็อตแลนด์สามสิบหกก้อน โดยไม่ใช้ซีเมนต์หรือที่ยึดใด หินที่ถูกจัดเรียงลงมาตามองศา แต่ละก้อนแตกต่างกันและถูกตัดให้เรียงเข้ากันได้ และอาศัยแรงกดจากหินก้อนหลักรูปลิ่มที่อยู่ตรงกลางแถวบนสุด เพื่อให้ทุกก้อนต่อกันสนิทสมบูรณ์ หินก้อนหลักเป็นก้อนสำคัญในการยึดโครงสร้างเข้าด้วยกัน เช่นเดียวกับศิลามุมเอก
ประติมากรรมนี้เตือนให้ฉันนึกถึงการที่พระเยซูทรงเป็น “ศิลามุมเอก” ของคริสตจักรที่มีความแตกต่างกัน(อฟ.2:20) คนต่างชาติทั้งหมดที่ไม่ใช่คนยิว ครั้งหนึ่งเคย “ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า” (ข้อ 12) พระเยซูทรงกระทำให้ “ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” และ “ทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง” (ข้อ 14) พระองค์ทรงสร้าง “คนใหม่คนเดียว” และ “เพื่อจะทรงกระทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน” ทรงทำให้เราทั้งสองพวก “มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน” (ข้อ 15-16,18)
พระคริสต์ทรงสร้างเราขึ้นเป็นคริสตจักรซึ่ง “เป็นที่สถิตของพระเจ้าในฝ่ายพระวิญญาณ” (ข้อ 22) พระองค์ทรงปั้นเราแต่ละคนขึ้นอย่างพิเศษ ทรงเชื่อมเรากับพระองค์และเชื่อมเราเข้าด้วยกันผ่านทางพระองค์ และทรงเดินเคียงข้างเรา คริสตจักรนั้นถูกรวมเข้าด้วยกันโดยพระเยซู
วันแรกในค่ายที่อลันสอนนักเรียนวัยรุ่นเกี่ยวกับทักษะการเป็นผู้ประกอบการ นักเรียนคนหนึ่งพูดว่า “คุณเป็นคริสเตียนใช่ไหม ผมดูออก” ก่อนที่อลันจะบอกว่าเขาเป็นคริสเตียนหรือสวมถุงเท้าและเน็คไทที่เขาชอบซึ่งประดับด้วยสัญลักษณ์ของคริสเตียน วัยรุ่นคนนั้นบอกว่าเขาเห็นพระเยซูผ่านคำพูด การกระทำ และทัศนคติของอลัน พวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันว่าจะสามารถเป็นตัวแทนของพระเยซูให้ดีขึ้นได้อย่างไรในทุกที่ที่พวกเขาไป
การบอกว่าเราเป็นคริสเตียนและการสวมเสื้อผ้าที่มีข้อความแบบคริสเตียนเป็นสิ่งที่ดี แต่พระคัมภีร์สอนว่าการที่เราดำเนินชีวิตและแสดงความรักในขณะที่เราประกาศพระกิตติคุณจะเป็นข้อบ่งชี้ที่แท้จริงของผู้ที่ติดตามพระเยซู อัครทูตเปาโลและผู้เชื่อคนอื่นๆในเมืองโครินธ์ตั้งเป้าหรือได้รับแรงกระตุ้นที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย โดยการดำเนินชีวิตด้วยมุมมองอันเป็นนิรันดร์ขณะประกาศเรื่องของพระเจ้าแก่ผู้อื่น (2 คร.5:9-14)
เมื่อเราอุทิศทุ่มเทในการใช้ชีวิตเพื่อพระคริสต์แทนการอยู่เพื่อตนเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเปลี่ยนมุมมอง ลักษณะนิสัย และลำดับความสำคัญของเรา รวมถึงวิธีการที่เราโต้ตอบกับผู้อื่น (ข้อ 15-17) ชีวิตใหม่ของเราในพระเยซูมีเป้าหมายที่จะเป็นตัวแทนของพระองค์ในขณะที่เราทำให้ผู้อื่นเห็นพระองค์ “โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา” (ข้อ 20)
เมื่อเราทั้งหลายได้รับกำลังจากพระวิญญาณ เราก็ได้รับความชื่นชมยินดีและมีหน้าที่เป็นตัวแทนของพระคริสต์ไม่ว่าเราจะไปที่ใด
ฝูงไฮยีน่าล้อมสิงโตตัวเมียที่อยู่โดดเดี่ยว เมื่อฝูงสัตว์ดุร้ายส่งเสียงแหลมเข้าจู่โจม สิงโตตัวเมียก็สู้กลับ มันทั้งกัด ทั้งตะปบ แผดเสียง และคำรามอย่างสุดกำลังเพื่อป้องกันตัวจากศัตรู ในที่สุดมันก็ล้มลง ขณะที่ฝูงไฮยีน่ากำลังรุมมัน สิงโตตัวเมียอีกตัวหนึ่งเข้ามาช่วยพร้อมผู้ช่วยอีกสามตัวที่ตามหลังมาติดๆ แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่า แต่พวกมันก็สู้จนฝูงไฮยีน่ากระจัดกระจายไป สิงโตตัวเมียยืนอยู่ด้วยกัน กวาดสายตาไปรอบๆราวกับกำลังรอคอยการจู่โจมอีกครั้งหนึ่ง
ผู้เชื่อในพระเยซูก็ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างยิ่งเช่นกัน การช่วยเหลือที่ทรงพลังที่สุดที่เรามอบให้ได้คือคำอธิษฐาน อัครทูตเปาโลเขียนในจดหมายถึงคริสตจักรในกรุงโรมว่า “พี่น้องทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์พระผู้เป็นเจ้าของเราและโดยความรักของพระวิญญาณ ข้าพเจ้าวิงวอนขอให้ท่านช่วยอธิษฐานพระเจ้าด้วยใจร้อนรนเพื่อข้าพเจ้า” (รม.15:30) เปาโลขอให้พวกเขาอธิษฐานให้ท่าน “พ้นจากมือของคนในประเทศยูเดียที่ไม่เชื่อ” และเพื่อให้การปรนนิบัติเนื่องด้วยผลทาน “เป็นที่พอใจของธรรมิกชน” (ข้อ 31) ท่านรู้ถึงรางวัลของการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชุมชน (ข้อ 32) ท่านยืนหยัดร่วมกับพวกเขาในคำอธิษฐานด้วย และลงท้ายจดหมายของท่านด้วยการอวยพร “ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด” (ข้อ 33)
ขณะที่เราดำเนินชีวิตเพื่อพระเยซู เราจะเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งในฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายวิญญาณ แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราและต่อสู้แทนเรา เมื่อเรายืนหยัดร่วมกัน... โดยพร้อมที่จะอธิษฐานอยู่เสมอ
คิ้วของเคย์ล่าขมวดเข้าหากันขณะที่เธอดันกระดาษอีกแผ่นหนึ่งลงในกล่องที่เต็มจนแน่นแล้ว กล่องนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า “มอบไว้กับพระเจ้า” อยู่ทั้งสี่ด้าน เธอถอนหายใจยาวและค้นหาคำอธิษฐานที่เธอเขียนใส่ไว้ในกล่องก่อนหน้านี้ “ฉันอ่านออกเสียงคำอธิษฐานเกือบทุกวัน” เธอบอกกับชานเทลเพื่อนของเธอ “ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงได้ยินฉัน” ชานเทลยื่นพระคัมภีร์ให้เคย์ล่า “ก็ด้วยการวางใจว่าพระเจ้าทรงรักษาคำตรัสของพระองค์” เธอกล่าว “และทุกครั้ง ให้เธอวางมอบคำอธิษฐานที่เธอเขียนหรืออ่านนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”
อัครทูตเปาโลหนุนใจผู้เชื่อในพระเยซูให้ “ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า” และให้เหตุผลที่ดีที่จะทำเช่นนั้นโดยยืนยันว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว” (ฟป.4:4-5) ท่านหนุนใจคนของพระเจ้าให้เปลี่ยนความคิดกังวลเป็นคำอธิษฐานที่เต็มไปด้วยความเชื่อ โดยเชื่อว่าพระองค์ทรงได้รับคำร้องทูลทุกอย่าง และให้เราสรรเสริญพระองค์ขณะพักสงบอยู่ในสันติสุขอันลึกซึ้งแห่งการทรงสถิตอันไม่สิ้นสุดของพระองค์ (ข้อ 6-7)
พระเยซูองค์สันติราชจะทรงคุ้มครองจิตใจและความรู้สึกของเรา เมื่อเรามุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่นำเราไปถึงพระองค์ นั่นคือ “สิ่งที่จริง...สิ่งที่ยุติธรรม...สิ่งที่บริสุทธิ์...สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ” (ข้อ 8)
สันติสุขของพระเจ้าจะปกป้องเราเมื่อเราไว้วางใจว่าพระเจ้าแห่งสันติสุขทรงอยู่กับเรา เมื่อเราเป็นอิสระจากภาระแห่งการยึดติดกับความกังวลแล้ว เราจะสัมผัสถึงสันติสุขในการมอบวางคำอธิษฐานทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ที่ไว้วางใจได้ของพระเจ้า
ด้วยการให้สัญญาณครั้งสุดท้ายของกรรมการตัดสิน เคเนดี้ เบลดส์ นักกีฬามวยปล้ำได้กลายเป็นแชมป์โอลิมปิคประจำปี 2024 เธอประสานมือชูขึ้นพร้อมกับมองไปบนสวรรค์และสรรเสริญพระเจ้า นักข่าวถามถึงพัฒนาการของเธอตลอดสามปีที่ผ่านมา แต่นักกีฬาชั้นยอดผู้นี้ไม่ได้พูดถึงการฝึกฝนทางกายของเธอเลยด้วยซ้ำ “ฉันแค่เข้าใกล้พระเยซูมากขึ้น” เธอกล่าว เธอประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็นกษัตริย์และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับ
หนุนใจผู้อื่นให้เชื่อวางใจในพระองค์ “เป็นเพราะพระองค์” เธอกล่าว “นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฉันทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้” ในการให้สัมภาษณ์อื่นๆเธอก็ประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่า พระเยซูทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับเธอและเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอได้รับสิ่งที่ดีในชีวิต
ความร้อนรนที่จะดำเนินชีวิตโดยมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางนี้สะท้อนถึงคำประกาศของดาวิดในสดุดี 63 ดาวิดโหยหาที่จะได้พบองค์พระผู้สร้างของท่าน โดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์” (ข้อ 1) ดาวิดได้ “เห็น” พระเจ้า และ “เห็นฤทธานุภาพ” และ “พระสิริ” ของพระองค์ (ข้อ 2) ท่านประกาศว่า ความรักมั่นคงของพระเจ้า “ดีกว่าชีวิต” (ข้อ 3) จากนั้นอธิษฐานว่า “เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์เกาะติดอยู่ที่พระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ชูข้าพระองค์ไว้” (ข้อ 7-8) เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงเป็นทุกสิ่งสำหรับดาวิด
ชีวิตของเราสามารถเป็นแสงนำทางให้ผู้อื่นเข้ามามีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด เมื่อพระเยซูกลายมาเป็นเหตุผลและทุกสิ่งในชีวิตของเรา
เมื่อไดแอน ด็อคโค่คิมและสามีรู้ว่าลูกชายถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก เธอทุกข์ใจกับความเป็นไปได้ที่ว่าลูกซึ่งมีความบกพร่องด้านสติปัญญาอาจมีชีวิตยืนยาวกว่าเธอ เธอร้องทูลพระเจ้าว่า เขาจะเป็นอย่างไรหากไม่มีข้าพระองค์ คอยดูแล พระเจ้าทรงให้เธอได้อยู่ท่ามกลางการสนับสนุนจากกลุ่มพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเด็กที่มีความพิการ ในความรู้สึกผิดที่มักจะอธิบายไม่ได้ ในความรู้สึกไม่ดีพอและความกลัวนั้น พระเจ้าประทานกำลังแก่ไดแอนที่จะไว้วางใจในพระองค์ ในที่สุดแล้วจากหนังสือที่เธอเขียนชื่อ ความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนไดแอนได้มอบความหวังเรื่อง “การฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ” ให้กับผู้คนที่เลี้ยงดูลูกที่พิการ เมื่อลูกชายของเธอเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ความเชื่อของไดแอนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เธอไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงดูแลเธอและลูกชายของเธอตลอดไป
ความไม่แน่นอนในชีวิตอาจทำให้ใจของเราแข็งกระด้างต่อพระเจ้า เราอาจถูกล่อลวงให้เชื่อในสิ่งอื่นหรือคนอื่นรวมถึงตัวเราเอง แต่เราสามารถพึ่งพาใน “พระศิลาแห่งความรอดของพวกเรา” ได้ (สดด.95:1) นี่เป็นวลีที่ชี้ให้เห็นถึงพระลักษณะที่แน่นอนของพระเจ้า “ที่ลึกของแผ่นดินโลกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ที่สูงของภูเขาเป็นของพระองค์ด้วย ทะเลเป็นของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสร้างมัน และพระหัตถ์ของพระองค์ทรงปั้นแผ่นดิน” (ข้อ 4-5)
เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนได้ด้วยการนมัสการ “พระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเรา” (ข้อ 6) เราวางใจได้ว่าทรงอยู่กับเราและคนที่เรารักเพราะ เราเป็น “ฝูงแกะที่พระองค์ทรงอุ้มชูด้วยพระหัตถ์ของพระองค์” (ข้อ 7 TNCV)
ผู้คนหลายพันทั่วโลกอธิษฐานเผื่อลูกชายวัยสามขวบของเซธี ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อหมอบอกว่า สมองของชิโลห์ “ไม่มีการเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์” เซธีโทรมาหาฉัน พูดว่า “บางครั้ง ฉันก็กลัวว่าฉันไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยม ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงรักษาชิโลห์ให้หายจนเขากลับบ้านกับเราได้ แต่ฉันก็มีสันติสุขเช่นกันถ้าพระองค์จะรักษาโดยการรับเขาไปสวรรค์” เพื่อยืนยันกับเธอว่าพระเจ้าทรงเข้าใจเธอมากกว่าใคร ฉันจึงบอกว่า “เธอยอมจำนนต่อพระเจ้าแล้ว นั่น
คือความเชื่อที่เต็มเปี่ยม!” ไม่กี่วันต่อมา พระเจ้าทรงรับบุตรชายที่ล้ำค่าของเธอไปสวรรค์ แม้จะต้องต่อสู้กับความโศกเศร้าจากการสูญเสีย แต่เซธีก็ขอบคุณพระเจ้าและผู้คนมากมายที่อธิษฐานเผื่อ เธอบอกว่า “ฉันเชื่อว่าพระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้าและพระองค์ทรงแสนดีเสมอ”
ในโลกนี้ เรา “จะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ” (1 ปต.1:6) จนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา และเราจะต้องจัดการกับอารมณ์ที่แท้จริงจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริง แต่ทุกคนที่มีประสบการณ์กับการ “บังเกิดใหม่” ในพระคริสต์ (ข้อ 3) จะมีที่ยึดเหนี่ยวในชีวิตโดยความรักที่มีต่อพระเยซู และมี “ความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้” (ข้อ 8) สุดท้ายผลแห่งความเชื่อที่เรามีในพระคริสต์จะทำให้ “วิญญาณจิต[ของเรา ]ได้รับความรอด” (ข้อ 9)
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานกำลังให้เราเพื่อจะมีความเชื่อที่เต็มเปี่ยม ด้วยการดำเนินชีวิตแห่งการอธิษฐานและยอมมอบสถานการณ์ของเราไว้กับพระคริสต์
ในปีหนึ่งฉันตอบรับที่จะร้องเพลงก่อนการแข่งกีฬาของลูกชาย แม้ฉันจะจำเพลงนั้นจนขึ้นใจแล้วแต่ก็ยังคงฝึกซ้อมอยู่หลายสัปดาห์ ดังนั้นเมื่อฉันเดินเข้าไปในสนามโดยมีทีมนักกีฬายืนเรียงกันข้างฉันทั้งสองด้าน ฉันจึงหลับตาลงและอธิษฐาน ฉันเริ่มร้องเพลงสองสามบรรทัดแรกแล้วฉันก็ยืนตัวแข็ง ในจังหวะนั้นฉันจำเนื้อร้องบรรทัดต่อไปไม่ได้ ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังกระซิบคำที่ฉันลืม ทันทีที่ได้ยินเสียงซึ่งช่วยเตือนความจำนั้น ฉันก็เปล่งเสียงร้องเพลงส่วนที่เหลือได้ด้วยความมั่นใจ
เราทุกคนต่างต้องการความช่วยเหลือบ้างในบางครั้ง ในยอห์นบทที่ 14 พระเยซูทรงอธิบายว่าเราแสดงความรักต่อพระองค์ได้ก็โดยการเชื่อฟังพระองค์ (ข้อ 15) และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทูลขอพระบิดาให้ส่งองค์พระผู้ช่วยมาช่วยเรา “คือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ข้อ 17) พระวิญญาณนี้ “โลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” (ข้อ 17) แม้ว่าพระเยซูจะทรงสอนสาวกหลายสิ่งขณะอยู่กับพวกเขา (ข้อ 25) พระองค์ตรัสว่า “องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ข้อ 26)
เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ด้วยใจอธิษฐาน พระวิญญาณจะช่วยเราในการตีความให้เข้าใจและปรับใช้พระคำซึ่งเป็นพระปัญญาของพระเจ้านี้ การทรงนำของพระองค์สอดคล้องกับพระวจนะเสมอ เพื่อชี้ทาง ปลอบโยน และเปลี่ยนแปลงเราด้วยความรัก ทรงเป็นเสียงเตือนที่คอยช่วยเหลือเราทุกครั้งเสมอไป
วันหนึ่งในขณะที่ฉันทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลแม่ เราไปชมนิทรรศการศิลปะด้วยกัน เรารู้สึกหมดแรงทั้งกายและใจ ฉันจ้องดูเรือพายไม้สองลำที่เต็มไปด้วยสีสันของแก้วเป่าหลากรูปทรงที่ได้แรงบันดาลใจจากเหยื่อตกปลาและการจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น ผลงานนี้มีชื่อว่า อิเคบานะและเรือบนผิวน้ำ ด้านหน้าผนังสีดำอยู่บนพื้นผิวที่สะท้อนแสง แก้วทรงกลมเหมือนหมากฝรั่งขนาดใหญ่ที่มีลายจุด รอยด่างและเส้นริ้ววางกองกันไว้อยู่ในเรือลำเล็ก ในตัวเรืออีกลำมีแก้วขนาดยาวเป็นเส้นโค้งงอขึ้นรูปเป็นดอกกุหลาบดูเหมือนเปลวเพลิงสว่างไสว ศิลปินได้ปั้นแก้วหลอมแต่ละชิ้นให้เป็นรูปร่างผ่านเปลวไฟบริสุทธิ์ในขั้นตอนการเป่าแก้ว
น้ำตาของฉันไหลอาบแก้มเมื่อนึกถึงภาพพระหัตถ์ที่เปี่ยมด้วยความห่วงใยของพระเจ้าทรงโอบกอดฉันกับแม่ซึ่งเป็นลูกที่รักของพระองค์ไว้ ในวันที่ยากลำบากที่สุดของเรา ในขณะที่พระเจ้าทรงปั้นแต่งคุณลักษณะของเราผ่านเปลวไฟที่หล่อหลอมชีวิตนั้น พระองค์ทรงยืนยันว่าความหวังของเรามาจากการรู้ว่าพระองค์รู้จักเราและเราเป็นของพระองค์ (อสย.43:1) แม้เราจะหลีกหนีความยากลำบากไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะปกป้องเราและอยู่กับเรา (ข้อ 2) พระลักษณะของพระองค์และความรักที่ทรงมีต่อเราทำให้พระสัญญาของพระองค์มั่นคง (ข้อ 3-4)
เมื่อสถานการณ์ในชีวิตเริ่มร้อนแรงขึ้น เราอาจรู้สึกอ่อนแอ และเราอาจอ่อนแอจริงๆ แต่พระเจ้าทรงยึดเราไว้มั่นในความรักไม่ว่าเตาหลอมนั้นจะร้อนด้วยเปลวไฟมากเพียงใด เราก็จะเป็นที่จดจำ เป็นที่รัก เราเป็นของพระองค์!